ต้นทุนขายสินค้าคืออะไร? มีวิธีการคำนวณอย่างไร? การจัดทำบัญชีต้นทุนในธุรกิจสำคัญแค่ไหน? ในบทความต่อไปนี้ Blog Sapo จะแบ่งปันแนวคิดและวิธีการคำนวณต้นทุนขายสินค้าตลอดจนวิธีการแก้ไขเมื่อต้นทุนขายสินค้าสูญหายหรือถูกคำนวณผิด
เมื่อเพิ่มสินค้าใหม่ในโปรแกรมจัดการร้านค้าในคลังสินค้า คุณจะเห็นช่องใส่ข้อมูลต้นทุนเริ่มต้น นั่นคือต้นทุนการนำเข้าสินค้า (รวมต้นทุนทั้งหมด: ซื้อสินค้า + ค่าจัดส่ง + คลังสินค้า ...) นี่คือข้อมูลที่จำเป็นต้องมี เนื่องจากในภายหลังเมื่อทำการบัญชีสำหรับกำไรขาดทุน มูลค่าสินค้าคงคลัง ฯลฯ ระบบจะต้องพึ่งพาข้อมูลเหล่านี้เพื่อทำการคำนวณและรายงานอย่างถูกต้อง
1. ต้นทุนขายคืออะไร?
อย่างแรกหากต้องการจัดการกระแสเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพ คุณต้องเข้าใจความหมายของต้นทุนขายให้ดีก่อน
ต้นทุนขายคือมูลค่าทุนเพื่อให้ได้มาซึ่งสินค้านั้นในช่วงเวลาหนึ่ง (ในหนึ่งงวด) ต้นทุนขายรวมถึงต้นทุนทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้า
ในการลงทุน สิ่งที่เห็นได้ง่ายที่สุดคือต้นทุนการนำเข้าสินค้า งบประมาณมีสัดส่วนสูงในขั้นตอนแรกในการดำเนินการธุรกิจ ดังนั้นสิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าต้นทุนขาย (Cost of Goods Sold/Cost of Sales) คืออะไร มีวิธีการคำนวณอย่างไร ตอนนั้นคุณจะรู้สถานการณ์การเติบโตของร้านค้าอย่างชัดเจน
อย่างนั้น ต้นทุนขายสินค้าประกอบด้วยอะไรบ้าง?
ต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับต้นทุนขายรวมถึงต้นทุนทั้งหมดในการผลิตสินค้า เช่น ต้นทุนการจัดซื้อวัตถุดิบ ต้นทุนการผลิตสินค้า ค่าแรง ค่าใช้จ่ายในการบริหาร ค่าขนส่งและค่าใช้จ่ายอื่นๆ
สำหรับบริษัทแต่ละประเภทจะมีคำจำกัดความของต้นทุนขายที่แตกต่างกัน:
- สำหรับบริษัทการค้า (นำเข้าสินค้าเพื่อให้ได้สินค้านั้นมาขาย) ต้นทุนขายสินค้าจะหมายถึงต้นทุนรวมทั้งหมดตั้งแต่เวลาที่ซื้อสินค้าจนถึงเวลาที่สินค้ามาถึงคลังสินค้าของบริษัท ได้แก่ ค่านำเข้าสินค้าจากซัพพลายเออร์ ค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าไปยังคลังสินค้า ภาษี ประกันสินค้า ฯลฯ
- สำหรับบริษัทผู้ผลิต (บริษัทที่ผลิตสินค้าโดยตรง) ต้นทุนที่ประกอบเป็นต้นทุนของสินค้าจะมากกว่าต้นทุนของบริษัทการค้า เนื่องจากต้องมีต้นทุนวัตถุดิบนำเข้าเพื่อผลิตสินค้าเพิ่มเติม
นอกจากนี้ ต้นทุนของแต่ละบริษัทก็แตกต่างกันไปตามข้อกำหนดภายใต้สัญญาที่ทำกับซัพพลายเออร์
2.ทำไมถึงต้องมีต้นทุนขาย?
ตลาดมีความผันผวนอยู่เสมอ และผู้ขายไม่สามารถนำเข้าสินค้าในราคาที่คงที่ได้ตลอดเวลา บางทีตอนนี้คุณอาจนำเข้าเสื้อยืดคอกลมผู้ชาย 30 ตัว - สีขาว ราคา 500บาท/ตัว สินค้านี้ขายดีมาก 2 วันต่อมาคุณนำเข้ามากขึ้นชุด 50 ตัว แต่ตอนนี้มันเป็นสินค้าหายาก ซัพพลายเออร์จะขึ้นราคาเป็น 700บาท/ตัว ราคานำเข้าก็เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเช่นนั้น
จะคำนวนต้นทุนขายสินค้าได้อย่างไร?
ดังนั้นปัญหาที่นี่ก็คือ จะรู้ได้อย่างไรว่าจำนวนเงินที่คุณใช้ในการนำเข้าสินค้า (ต้นทุน) เมื่อปริมาณของสินค้านำเข้าและราคาต้นทุน (ต้นทุนนำเข้า) ในแต่ละครั้งแตกต่างกันอย่างไร? ในทางกลับกัน ร้านค้าขายรหัสสินค้าหลายร้อยหลายพันรหัส จึงไม่สมเหตุสมผลที่จะคำนวณโดยหนังสือได้
3. วิธีคำนวนต้นทุนขายสินค้า
ปัจจุบันมีวิธีคำนวณต้นทุนขายสินค้าได้ 3 วิธี ดังนี้
3.1. สูตรคำนวณ FIFO (เข้าก่อน-ออกก่อน)
การคำนวณนี้หมายความว่าการคิดคำนวณต้นทุนสินค้าที่เข้ามาก่อนและขายออกก่อนตามลำดับ สูตรคิดต้นทุนแบบ FIFO เหมาะสำหรับสินค้าที่มีวันหมดอายุ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์เท่านั้น ในรูปแบบการขายปลีกและขายของชำไม่ค่อยได้ใช้ เนื่องจากการคำนวณข้อมูลมีความซับซ้อนมาก
3.2. สูตรคำนวณ LIFO (เข้าหลัง-ออกก่อน)
วิธีการคำนวณ LIFO (เข้าหลัง-ออกก่อน) ไม่ค่อยได้ใช้ในปัจจุบัน ตอนนี้มีเพียง 2 ประเทศ คือสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นที่ยอมรับการคำนวณนี้
ข้อเสียเปรียบที่ชัดเจนมากในต้นทุนขายสินค้า LIFO คือการประเมินมูลค่าสินค้าคงคลังไม่น่าเชื่อถือ ในกรณีที่สินค้าคงคลังเป็นสินค้าเก่าและมีมูลค่าที่ล้าสมัยในราคาปัจจุบัน
3.3. สูตรคำนวณวิธีถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักในต้นทุนขายสินค้า
วิธีการคำนวณต้นทุนขายสินค้านี้ได้เรียกว่าถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก ตอนนี้กำลังถูกใช้โดยโปรแกรมจัดการร้านค้า Sapo POS เพื่อคำนวณมูลค่าสินค้าคงคลัง และนี่ก็เป็นวิธีการคิดต้นทุนที่พบบ่อยที่สุดในซอฟต์แวร์สมัยใหม่ในปัจจุบัน
ตามวิธีการคำนวณนี้ ทุกครั้งที่นำเข้าสินค้า ต้นทุนสินค้าจะถูกคำนวณใหม่ตามสูตร:
MAC = ( A + B ) / C
ด้วย:
MAC: ต้นทุนของสินค้าโดยเฉลี่ย
A: มูลค่าสินค้าคงคลังก่อนนำเข้า = สินค้าคงคลังก่อนนำเข้า * ราคา MAC ก่อนเข้า
B: มูลค่าสินค้าคงคลังใหม่ = สินค้าคงคลังใหม่ * ราคานำเข้า
C: สินค้าคงคลังทั้งหมด = สินค้าคงคลังก่อนนำเข้า + สินค้าคงคลังหลังการนำเข้า
ด้วยวิธีคำนวณต้นทุนขายสินค้านี้ คุณต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลสินค้าคงคลังของคุณถูกต้องอย่างแน่นอน เพราะเมื่อปริมาณสินค้าคงคลังผิด ก็จะส่งผลให้ทั้งตัวเศษและตัวส่วนผิด หากต้นทุนขายสินค้าไม่ถูกต้อง จะไม่สามารถคำนวณกำไรขั้นต้นและมูลค่าสินค้าคงคลังที่ถูกต้องได้
4. สาเหตุที่ทำให้ต้นทุนขายสินค้าผิดและวิธีการแก้ไข
ดังที่กล่าวไว้ เมื่อปริมาณสินค้าคงคลังไม่ถูกต้อง จะนำไปสู่การทำบัญชีต้นทุนที่ไม่ถูกต้อง โดยปกติมีสองสาเหตุหลักดังนี้:
- ดำเนินการกระบวนการขายติดลบที่ไม่ถูกต้อง
- กระบวนการส่งคืนสินค้าให้ซัพพลายเออร์ที่ไม่ถูกต้อง
เราจะวิเคราะห์แต่ละสาเหตุว่าทำไมมันจึงทำให้การทำบัญชีต้นทุนขายสินค้าไม่ถูกต้อง นำไปสู่มูลค่าสินค้าคงคลังและสถิติกำไรขาดทุนที่ไม่ถูกต้อง
4.1. ดำเนินการกระบวนการขายติดลบที่ไม่ถูกต้อง
ตามกฎแล้ว หลังจากนำเข้าสินค้าแล้ว คุณต้องป้อนสินค้าคงคลังทั้งหมดลงในโปรแกรมจัดการร้านค้า จากนั้นจึงจะสามารถขายได้ หากทำผิด ข้อมูลก็จะผิดพลาดไปโดยสมบูรณ์ สำหรับการกระบวนการขายที่ไม่ถูกต้อง ข้อผิดพลาดทั่วไปคือการขายติดลบและการส่งคืนสินค้าให้ซัพพลายเออร์
เมื่อโปรแกรมอนุญาตให้มีขายติดลบ (หมายความว่าอนุญาตให้ขายก่อนและนำเข้าสต็อกในภายหลังเพื่อชดเชยจำนวนสินค้าคงคลังที่ติดลบ) สถานการณ์นี้มักเกิดขึ้นกับสินค้า HOT เจ้าของร้านนำเข้าแล้วแต่ไม่ได้บันทึกในสต็อก แต่วางสินค้าบนชั้นวางเพื่อขายแล้ว หรือคืนสินค้าให้กับลูกค้าที่เคาน์เตอร์ กระทั่งถึงวันรุ่งขึ้นถึงเพิ่มเข้าสต็อกหรือบางคนก็ลืมเพิ่มเข้าสต็อกเลย….
ในกรณีดังกล่าว ณ เวลาที่ส่งออก ต้นทุนขายเป็น 0 หรือกำลังเป็นข้อมูลผิด ซึ่งนำไปสู่การคำนวณกำไรขั้นต้นที่ไม่ถูกต้อง เมื่อต้นทุนขายสินค้าในคลังสินค้าสูงมาก กำไรขาดทุน & รายได้ของร้านค้าจะไม่ตรงกับมูลค่าจริงอีกต่อไป
4.2. กระบวนการส่งคืนสินค้าให้ซัพพลายเออร์ที่ไม่ถูกต้อง
ต้นทุนที่ผิดพลาดเกิดขึ้นเมื่อส่งคืนสินค้าบางส่วนที่ซื้อจากซัพพลายเออร์หลังจากขายส่วนที่เหลือ ตามหลักการบัญชี เมื่อส่งคืนสินค้าให้ซัพพลายเออร์ นักบัญชีคลังสินค้าจำเป็นต้องคิดคำนวณต้นทุนขายสินค้าใหม่ แต่หากไม่ดำเนินการนี้ ราคาต้นทุนจะไม่แม่นยำอีก
ซอฟต์แวร์ Sapo จะคำนวณต้นทุนขายสินค้าใหม่โดยอัตโนมัติเมื่อส่งคืนสินค้าให้กับซัพพลายเออร์ โดยพิจารณาว่ามูลค่าการส่งคืนเป็นของรายการ "มูลค่าของสินค้าที่ส่งคืน ลดราคา" ในกลุ่มเอกสารการปรับปรุงการลดลงเมื่อคิดคำนวณต้นทุนขายโดยใช้ วิธีเฉลี่ย
สูตรคำนวณต้นทุนขายสินค้าเมื่อคืนสินค้า:
MAC = ( A – B ) / C
ด้วย:
MAC: ต้นทุนของสินค้าที่ได้คำนวณใหม่เมื่อผู้ใช้คลิกส่งออกและคืนสินค้าให้ซัพพลายเออร์
A = มูลค่าสินค้าคงคลังก่อนคืน = จำนวนสินค้าคงคลังก่อนคืน * ราคาต้นทุนก่อนคืน
B = มูลค่าสินค้าที่ถูกคืน = จำนวนสินค้าที่คืน * จำนวนเงินที่คืนของแต่ละสินค้า (ไม่รวมภาษีและค่าธรรมเนียมเข้ามูลค่าที่ส่งคืน)
C = (จำนวนสินค้าคงคลังก่อนคืน – จำนวนสินค้าที่คืน)
ดูเพิ่มเติม: 9 กลยุทธ์การกำหนดราคาสินค้าที่คุณต้องรู้หากต้องการทำกำไรมากขึ้น
ลงทะเบียนตอนนี้เพื่อทดลองใช้โปรแกรมจัดการร้านค้าอัจฉริยะของ Sapo ฟรี 7 วัน เพื่อสัมผัสกับคุณสมบัติที่โดดเด่นในการคำนวณต้นทุนขายสินค้าและจัดการกระแสเงินสดของร้านค้าของคุณ!